Mint Magazine Thailand
Mint Magazine Thailand
แตกต่างเหมือนกัน! พูดคุยกับ 2 เพื่อนซี้ต่างขั้ว 'โอม-นนน' จากซีรี่ส์แค่เพื่อนครับเพื่อน
June 23, 2022
แตกต่างเหมือนกัน! พูดคุยกับ 2 เพื่อนซี้ต่างขั้ว 'โอม-นนน' จากซีรี่ส์แค่เพื่อนครับเพื่อน

MINT TALK: แตกต่างเหมือนกัน! พูดคุยกับ 2 เพื่อนซี้ต่างขั้ว 'โอม-นนน' จากซีรี่ส์แค่เพื่อนครับเพื่อน ที่ความแตกต่างของทั้งคู่กลับเชื่อมโยงเข้าหากันด้วยทัศนคติและเป้าหมายในการทำงานที่คล้ายกัน

 

     เชื่อว่าทุกคนน่าจะมีเพื่อนซักคนที่แตกต่างกันเกือบสุดขั้ว แต่ไม่ว่าจะต่างกันขนาดไหนจะต้องมีอย่างน้อยซักเรื่องราวที่ยึดโยงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น คงจะคล้ายกับ “โอม - ภวัต จิตต์สว่างดี” และ “นนน - กรภัทร์ เกิดพันธุ์” ความแตกต่างของทั้งคู่แต่กลับเชื่อมโยงเข้าหากันด้วยทัศนคติและเป้าหมายในการทำงานที่คล้ายกัน ไม่แปลกใจเลยกับ Teaser “แค่เพื่อนครับเพื่อน” ที่ยอดวิวพุ่งไปถึง 3 ล้านวิว พูดคุยพร้อมเสพย์เคมีและแพชชั่นของทั้งคู่ได้เลยที่นี่ 

 

 

Mint: อันนี้เราสงสัยส่วนตัว มีคนเคยอ่านชื่อ นนน ออกมาเป็นอะไรบ้าง 

Nanon: มันอ่านว่า “นะนน” ใช่ปะ เคยมีคนอ่าน โนนนนน (ลากเสียงสูง) นะนะนะ ก็มี นน-นะ แต่ส่วนมากคนจะชอบเข้าใจผิดว่า นนน เป็นชื่อจริงเขาจะถามหาชื่อเล่นผมตลอด 

 

Mint: มาที่ซีรีส์บ้าง เล่าเรื่องราวสั้นๆ พร้อมความคืบหน้าให้เราฟังหน่อย 

Ohm: ถ่ายไปประมาณ 40 % ได้แล้วครับ 

Nanon: เป็นเรื่องของครอบครัว 2 ครอบครัว ที่อยู่บ้านใกล้กัน แต่เหม็นขี้หน้ากันและกัน พอ 2 ครอบครัวมีลูกก็ไปฝังหัวให้เด็กไม่ชอบกัน มองว่าเป็นคู่แข่ง ต้องเรียนเก่งกว่า ดนตรีต้องดีกว่า เล่นกีฬาก็ต้องชนะ มีการบลัฟกันไปมาระหว่างทาง แต่วันหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้ง 2 คน ต้องมาตั้งคำถามและทำความเข้าใจกันว่า เห้ย เราเกลียดกันจริงๆ หรือเปล่า ที่เกลียดกันเพราะอะไร ทำไมเราต้องมาแข่งขันกัน คร่าวๆ ประมาณนี้ 

Ohm: ผมเล่นเป็น ภัทร ครับ

Nanon: ผมเล่นเป็น ปราณ

 

Mint: โอมกับภัทร เหมือนหรือต่างกันไหม 

Ohm: ผมดีใจมากที่ได้เล่นเรื่องนี้เพราะภัทรคือตัวผมเลยครับ เป็นเรื่องแรกที่ได้เล่นเป็นตัวเองที่ไม่ต้องมีอะไรมาครอบจนเราต้องเปลี่ยนหรือปรับตัวเอง

Nanon: เหมือนตอนโอมอยู่บ้าน ตื่น กินข้าว ออกกำลังกาย นอน 

Ohm: ไม่เหมือนตรงภัทรไม่ออกกำลังกาย มันจะไปหาเพื่อน กลับบ้าน กินข้าว นอน 

Nanon: ก็เหมือนกันหนิ 

Ohm: อย่าเถียงได้ไหมเนี่ย มันตัวละครผมนะ

 

Mint: มาที่นนนบ้าง ปราณกับนนน ต่างกันยังไง 

Nanon: เหมือนจะเหมือนในตอนแรก แต่พอมานั่งทำคาแรกเตอร์กับผู้กำกับแล้ว มันมีบางส่วนที่ฉีกความเป็นผมออกไปพอสมควร อย่างความเป็น OCD ผมมีกลิ่นๆ ของความย้ำคิดย้ำทำบ้าง แต่ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น เลยต้องเอามาดู ถ้า นนนเป็น OCD ผมจะเป็นระดับไหน มันจะเป็นการหาจุดตรงกลางมากกว่า แต่นิสัยก็คล้ายกันอยู่ประมาณหนึ่ง 

 

Mint: จากเด็กนวัตฯ มารับบทเด็กวิศวะและ’ถาปัตย์ ได้ทำการบ้านอะไรเพิ่มเติมบ้างไหม 

Ohm: ของผมจะเป็นเรื่องของความเฉพาะทางมากกว่า เช่น ชุดคำที่ใช้พูดกัน คำศัพท์เฉพาะทางที่มาจากคลาสเรียน วิถีชีวิต ไลฟ์สไตล์ เสื้อช็อปอย่างนี้ วิธีการถือหนังสือเรียน ถ้าสังเกตดีๆ เด็กวิศวะจะไม่ค่อยถือกระเป๋า ชอบเอาปากกาเสียบเสื้อช็อปไว้ จะเป็นพวกนี้มากกว่า 

Nanon: คือเรื่องนี้มันไม่ได้ปูพื้นหลังของตัวละครให้ชัดเจนมากขนาดนั้น ไม่ได้ขนาด My Ambulance ที่นักแสดงจะต้องแม่นในเรื่องของทักษะทางการแพทย์ขนาดนั้น ของโอมก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดี แต่ของผมจะเป็นในลักษณะของบุคลิกภาพ คนเรียนสถาปัตย์มันจะต้องทำงานเยอะ ตัดโมเดล นั่งจ้องหน้าจอ ทำงานส่งทั้งวันทั้งคืน เพราะฉะนั้น บุคลิกภาพจะไม่ได้สมาร์ทมาก ช่วงเดินจะห่อๆ หน่อย เวลาจับปากกาก็จะควงเล่นให้ได้คิดอะไรไป เป็นดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ภาพรวมดูมีมิติมากขึ้นครับ 

 

 

Mint: เรามีโอกาสได้อ่านตัวคาแรกเตอร์ของทั้งสองคนมาก่อน ของ นนน มันมีคำว่า Introvert เราตีความคำนี้ออกมายังไง ภายใต้ตัวตนของนนน 

Nanon: คำนี้ก็อยู่ในรายการที่ผมทำคาแรกเตอร์เหมือนกัน สำหรับผมและปราณนะ มันคือเจอคนได้เมื่ออยากเจอ ไม่ได้ขวนขวายจะเจอ เจอได้เท่าที่จำเป็น ไปมหาลัย กินข้าว ทำงาน แต่จะไม่มีการชวนคนอื่นไปแฮงค์เอ้าท์แน่ๆ ประโยคนี้จะไม่หลุดออกจากปากปราณแน่นอน ซึ่งผมก็จะเป็นคนแบบสามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้ โทรชวนโอมกินข้าว โอมไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ผมกินคนเดียวได้ 

 

Mint: ของโอมบ้าง มันมีคำว่า ผู้ชายแรด โอมตีความคำนี้ยังไง 

Ohm: คือผู้ชายที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา จะเรียกว่าไม่มีฟิลเตอร์ก็ไม่ได้ เพราะมันคิดอะไรก็จะแสดงออกมาแบบนั้นเลยแต่จะถูกขยายด้วย ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง ขยายด้วยนิสัยหรืออะไรบางอย่างให้พฤติกรรมมันใหญ่กว่าเดิม เช่น ชอบผู้หญิงคนนี้มาก ผู้ชายธรรมดาก็คงเออชอบนะ แต่ผู้ชายแรดมันจะเดินไปหาแล้วนั่งจีบโต้งๆ หรือแบบโอ้ยร้อน ถอดเสื้อช้อปได้ไหม ผู้ชายธรรมดาก็จะเหนียมประมาณหนึ่ง ผู้ชายแรดถ้าแรดมากก็คงถอดเสื้อข้างในด้วยเลย (หัวเราะ) ผมว่าผู้ชายแรดจะเป็นแบบนี้

 

 

Mint: พูดถึงเรื่องถอดเสื้อ ถอดบ่อยไหมเรื่องนี้ 

Ohm: บ่อย บ่อยมาก ถ่ายมานี่ถอดเสื้อเยอะมากเพราะเป็นซีนที่หอพักด้วย แต่พอถอดบ่อยๆ ผมก็คิดได้ว่าควรต้องปั๊มกล้ามเพิ่มอีก (จะ Continue ไหมเนี่ย?) แน่นอนครับ ไม่ต่อเนื่องแน่นอน ต้องไปลองสังเกตดู (หัวเราะ)

 

Mint: ตีความความสัมพันธ์ของภัทรกับปราณออกมาเป็นแบบไหน 

Nanon: เราขยับมาที่ตอนต้องมาใช้ชีวิตด้วยกันเลยแล้วกัน มันคือการถูกบังคับให้เรียนรู้กันจริงๆ ตั้งคำถามกับปราณและภัทรด้วยว่า เราเกลียดกันจริงๆ ไหม ส่วนตัวผมว่าลึกๆ แล้วทั้งคู่ไม่น่าจะเกลียดกันแต่ถูกปลูกฝังมาจากครอบครัว ว่าต้องไม่ชอบกัน เป็นเงื่อนไขทางครอบครัวที่สร้างสภาวะแบบนี้ขึ้นมา เลยเป็นความสัมพันธ์แบบประหลาด ความสัมพันธ์คล้ายกับเมสซี่และโรนัลโด้ เจอกันตามงานประกาศผลรางวัลก็นั่งคุยกัน ลูกโรนัลโด้ชอบเมสซี่ ลูกเมสซี่ชอบโรนัลโด้ แต่คนทั้งโลกชอบเอา 2 คนนี้มาเปรียบเทียบกัน คนนี้ลงครบ 500 นัด คนนี้ได้รางวัลนี้ คนนู้นได้รางวัลนั้น เป็นความคิดของคนนอก ที่จับทั้งคู่มาแข่งกัน

 

Mint: ส่วนตัวทั้งคู่เคยมีประสบการณ์ ลูกข้างบ้านดีกว่า ดีกว่าบ้างไหม 

Ohm: ไม่มีครับ ผมไม่เลย หรือมีผมก็ไม่ได้เก็บมาคิด 

Nanon: ของผมเคยเป็น ตอนแรกก็มีเปรียบเทียบลูกเพื่อนบ้าง ลูกคนนี้บ้าง ได้เรียนที่นู่นที่นี่ ซึ่ง (เสียงแข็ง) อันนี้ผมเน้นเลยนะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วผมไม่ได้มองว่าเป็นความผิดของพ่อแม่นะ เขาไม่เคยมีลูก เขาก็ไม่รู้วิธีเลี้ยงลูกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะสอนยังไง ไม่รู้ว่าจะต้องปฎิบัติกับลูกยังไง เขาก็ใช้ความเคยชิน ใช้สิ่งที่เคยถูกสอนมา ใช้ค่านิยม เอามาสอนเราและเขาก็อาจจะไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ได้รับมามันดีหรือไม่ดีต่อสภาพจิตใจของเขา มันเป็นเรื่องที่เมื่อ 20-30 ปีที่แล้วยังไม่มีใครตระหนัก ที่ถูกส่งต่อกันมา พอถึงรุ่นของผมกับแม่มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป เรามีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เรารับฟังและเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น

แต่กว่าจะถึงจุดนั้น ก็ต้องผ่านเหตุการณ์ปรอทแตกมาก่อนแล้วไง ถึงจะมานั่งคุยกันได้ (หัวเราะ)  มันต้องพังทลายไปก่อน ก่อนจะสร้างอะไรใหม่ขึ้นมาได้ 

Ohm: ต้องรื้อของเก่า สร้างของใหม่ 

Nanon: ใช่ๆ คำว่าไม้แก่ดัดยากจริงๆ แล้วเราอาจจะต้องหักก่อน แล้วเอาไม้หักไปสร้างสิ่งใหม่ด้วยกัน เจอกันคนละครึ่งทางแบบนี้ดีกว่า 

Ohm: อย่างที่บอกบ้านผมเขาจะชิลครับ ชิลจริงๆ รู้ว่าคาดหวัง แต่ผมก็ไม่ได้กดดันอะไรตัวเองมาก ปล่อยให้เป็นไปตามที่เป็น มีเข้มงวดในเรื่องที่ต้องจริงจังแบบนี้มากกว่า 

 

Mint: ธรรมชาติของทั้ง 2 คน ชอบแข่งขันไหม 

Ohm: เมื่อก่อนผมชอบมาก สมัยประถมผมจะต้องติด Top 10 ของชั้นเรียนให้ได้ ลงแข่งกีฬาก็ต้องชนะให้ได้ จนพอถึงช่วงมัธยมต้นผมเริ่มสอบให้ได้คะแนนน้อยจะได้ตกไปอยู่ที่ท้ายๆ เพื่อจะได้ไปจับกลุ่มอยู่ห้องเดียวกับเพื่อนที่ผมรัก ได้เรียนด้วยกัน ไม่เชิงว่าติดเพื่อนด้วย อยากได้รับการยอมรับในหมู่เพื่อนมากกว่า ประมาณว่ายอมทำเพื่อเพื่อนขนาดนี้เลยนะ หรือถ้าคิดลึกๆ อีกครั้ง ผมอาจจะอยากเป็นที่หนึ่งในกลุ่มเพื่อนกลุ่มนั้นก็ได้ เลยทำให้ตัวเองไปอยู่ในสนามแข่งตรงนั้น แล้วพอผมมองย้อนไปทำให้ผมคิดได้ว่า จริงๆ แล้วชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่องการแข่งขัน แต่คือการหาจุดที่ตัวเองอยู่แล้วมีความสุข ถ้าจะชนะเดี๋ยวชนะเอง ยกเว้นเรื่องที่ต้องแข่งจริงๆ นะ แข่งว่ายน้ำผมก็ไม่ได้อยากจะไปยืนกับเพื่อนที่โพเดียมเหรียญทองแดงนะ อันนี้ไม่ใช่ (หัวเราะ)

 

Nanon: ซับซ้อนนะ มึงซับซ้อนจริงๆ 

Ohm: อาจจะเหมือนเมื่อก่อนเตะในพรีเมียร์ลีกซึ่งสามารถเป็นแชมป์ได้ แต่ซักพักลีกนี้ไม่ตอบโจทย์ความสุขในการแข่ง ก็เลยยอมตกชั้นลงมาอยู่ในดิวิชั่น 1 เพื่อได้แข่งกับเพื่อนและเป็นแชมป์ในลีกนี้ มันคือการเลือกชนะ อยากจะชนะในเกมไหนก็ได้ แต่ที่ชนะในเกมนี้เพราะผมเลือกที่จะชนะในเกมนี้ หรือเลือกที่จะไม่ชนะก็ได้ 

 

Nanon: ส่วนผมไม่คิดว่าชอบแข่งขันเพราะไม่ชอบแพ้ จนได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนก็สวนผมกลับมาว่า ก็เพราะชอบแข่งไง เลยกลัวแพ้ พอผมมองย้อนตัวเองก็ใช่นะ ผมพยายามฝึกอะไรบางอย่างเพื่อให้ตัวเองมีความสามารถในระดับหนึ่ง อย่างน้อยต้องไม่โหล่ มีครั้งหนึ่งตอนกีฬาสี ผมต้องเป็นคนแบกทีมฟุตบอลสีผม เพราะในทีมไม่มีใครเล่นเป็นเลย วิ่งทั้งเกม ผลออกมาคือแพ้ ผมนอยมาก แต่พอตั้งสติได้มันคือการที่เราตบบ่าตัวเองแล้วทำให้ดีที่สุด ถ้าแพ้ก็ยอมรับให้ได้ ว่าเราทำเต็มที่แล้ว 

 

 

Mint: ที่ทั้งคู่ชอบการแข่งขันเหมือนกัน คิดว่ามันเป็นสัญชาตญาณของผู้ชายไหม 

Ohm: เป็นของมนุษย์ทุกคนมากกว่า ทุกคนอยากเป็นผู้ชนะ แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาตรงๆ หรอกว่า “กู อยาก ชนะ” กลัวเสียหน้า กลัวพูดไปแล้วทำไม่ได้ เราเลยหลีกเลี่ยงที่จะบอกหรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าการเอาชนะ การเอาตัวรอด อยู่ใน DNA ของทุกคน 

 

Mint: มาที่โอมหน่อยจาก “เขามาที่เชงเม้งข้างๆ หลุมผม” ถึง “ดิว ไปด้วยกันนะ” เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในการทำงานของตัวเองบ้าง 

Ohm: ทัศนคติครับ ผมเคารพการทำงานมากขึ้น ผมมองการแสดงเป็นอาชีพ ก่อนหน้านี้ผมมองการแสดงเป็นงาน Part-time ได้มีชื่อเสียง รับงาน ออกงานบ้าง พอได้ทำงานตั้งแต่เรื่องเชงเม้งฯ ผมรู้สึกเลยว่า นี่คืองาน นี่คืออาชีพ ที่ผมจะเอาชีวิตของผมเข้าไปทุ่มเทกับงาน พอถึงเรื่องดิวฯ ผมใช้ทัศนคตินี้ในการแสดง เราต้องตั้งใจ เลยทำให้การทำงานทุกวันมันมีเป้าหมาย มีมาตรฐานการทำงานที่เราตั้งเอาไว้

 

Mint: นนนบ้างจาก “The Gifted” มาถึง “Blacklist” เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในการทำงานของตัวเองบ้าง 

Ohm: น่ารักขึ้น ช่วงที่เล่น The Gifted มันดุมากเลยนะ เล่นบทดุแล้วเอามาดุในชีวิตจริง (หัวเราะ)

Nanon: มันเป็นคาแรกเตอร์ เวลาผมเล่นอะไรแล้วผมจะ........

Ohm: จริงจัง 

Nanon: ก็จริงจังในระดับหนึ่ง ยอมเปลี่ยนชีวิตประจำวันบางอย่างเพื่อให้มันเชื่อมโยงกับตัวละครได้ ผมอาจจะไม่ได้ถึงขนาดไปนอนในคุกแบบวาคีน ฟีนิกซ์ ก็ปรับเท่าที่สภาพร่างกายและจิตใจเรารับไหว เช่นในช่วงที่ถ่ายอาจจะมีปรับท่าทางการเดิน บุคลิก น้ำเสียง จังหวะการพูด ซึ่งผมก็ไม่ได้มืออาชีพพอที่จะสลัดมันออกได้ทันทีขนาดนั้น มันก็มีติดมาบ้าง แอบมีผลกระทบนิดหนึ่ง

 

Mint: มีตัวอย่างอาการสลัดบทบาทไม่หลุดบ้างไหม 

Nanon: อย่างเรื่อง My Dear Loser ส่วนตัวผมเป็นคนมั่นใจในตัวเองประมาณหนึ่งอยู่แล้ว ไม่ใช่คนด้อยค่าตัวเองและก็ไม่ได้ขี้แพ้ขนาดนั้น แต่ในเรื่องเราต้องกด Self-esteem เราลงมาให้ต่ำมาก กดต่ำจนใช้ชีวิตจริงแล้วเพื่อนแซวนิดเดียว เราเครียดไปเลย มันส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า ก็ต้องไปหาจิตแพทย์ แต่ก็ปรับตัวเองได้ในที่สุดนะ

 

Mint: ไปดูเสียงตอบรับมาในโลกออนไลน์ เสียงตอบรับค่อนข้างดีเลย มีความคาดหวังพอสมควร กดดันไหม

Ohm:  เห็นอยู่เหมือนกันครับ ใน Youtube ก็ 3 ล้านวิวแล้ว อาจจะปล่อยไปนานแล้วด้วยมั้ง (หัวเราะ)

Nanon: ยอมรับเลยก็ได้ว่าเครียด ระดับหนึ่งกับการที่กระแสตอบรับดีขนาดนี้ คนดูไม่ได้กดดันเราหรอก เขาอยากดู แต่ผมนี่หล่ะ กดดันตัวเอง ก็พยายามทำให้ดีที่สุดกับงานที่เรารัก

Ohm: ผมไม่เครียดเลย ผมดีใจที่กระแสตอบรับดีขนาดนี้ (นนน โอมไม่เครียดจริง ) อาจะเพราะผมเคยเล่นซีรีส์วายซึ่งกระแสไม่ได้แรงขนาดนี้ด้วยมั้ง แต่ที่กังวลคือคนดูยังไม่ได้ดูซักที ถูกเลื่อนถ่ายมาเรื่อยๆ เข้าใจความรู้สึกคนรอ งานมันออกมาดีอยู่แล้วหล่ะเพราะเราตั้งใจทำ แต่กังวลเรื่องคนรอดูมากกว่า 

Nanon: เรื่องนั้นไม่ต้องเครียดหรอก F4 เขานานกว่าเราอีก เปิดตัวไป 2 รอบแล้ว 

 

 

Mint: ทำงานด้วยกัน 2 เรื่องแล้ว มีความคุ้นเคยกันขนาดไหนบ้าง

Nanon: ตอนแรกกันครั้งแรก เราเฉยๆ ใส่กันเนอะ (หันไปถามโอม) แต่พอรู้ว่าบ้านอยู่ใกล้กัน กลับบ้านทางเดียวกันได้ มีเรื่องคุยกัน ได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกัน ก็รู้ว่าเรามีมุมมองการทำงานคล้ายๆ กัน ผมก็แฮปปี้ที่ได้ทำงานกับคนที่มีความคิดไปในทางเดียวกัน มีแพชชั่นในการทำงาน เหมือนถูกที่ถูกเวลาที่จะรู้จักกันด้วย 

 

Mint: เม้าบรรยากาศในกองถ่ายให้เราฟังหน่อย 

Nanon: โอมมันชิลอะ ชิลไป เข้าใจว่าสนิทกันประมาณหนึ่ง แต่มันชอบเล่นอะไรแบบเออ พี่เข้าใจชะ แล้วก็ชอบถอดเสื้อ เอะอะถอดเสื้อ หลังๆ ผมเลยใช้วิธีให้เป็นอากาศธาตุไป มองไม่เห็น ลอยๆ ผ่านสายตาไปเลย 

Ohm: นนนชอบเล่นมุกแล้วตลกอยู่คนเดียว ผมยอมรับเมื่อก่อนผมเคยต่อมุกกับมันอยู่ หลังๆ ผมไม่ไหวแล้วอะ เลยใช้สูตรเดียวกับนนน เป็นอากาศธาตุไป ช่วงนี้เห็นไปเล่นกับพี่ทีมงานกับเล่นคนเดียว เล่นเองตบเอง 

 

Mint: ความประทับใจของการได้ทำงานด้วยกัน 

Ohm: อันนี้ผมไม่เคยพูดกับนนนเลย ตั้งใจว่าจะพูดหลังปิดกล้องแต่ไหนๆ ก็ถามแล้ว พูดตรงนี้เลย นนนเป็นคนมีอีโก้ มีกำแพง มีโลกส่วนตัวสูง หลังจากได้ทำงานด้วยกัน ผมพูดกับทีมงานตลอดว่านนนมันน่ารักนะ ผมบอกทีมงานให้ไปบอกนนนให้หน่อย ไม่กล้าพูดเอง มันทำให้ผมอยากทำงานกับนนนอีก 

Nanon: โอมภายนอกดูเป็นคนเล่น ไม่จริงจัง แต่พอทำงานจริง โอมตั้งใจนะ มันให้ใจในการทำงานจริงๆ แล้วก็เรื่องวินัย ผมเคารพความเป็นโอมในเรื่องพวกนี้เลย มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปทำงานครับ ยิ่งได้ทำงานกับคนที่เราไว้ใจด้วยได้ยิ่งสบายใจ