Mint Magazine Thailand
Mint Magazine Thailand
INTERVIEW : การก้าวข้ามขีดจำกัดและความกล้าที่จะเผยตัวตนของ ‘Jeff Satur’ ในจุดที่มีเวทีเป็น Safe Zone
April 08, 2023
INTERVIEW : การก้าวข้ามขีดจำกัดและความกล้าที่จะเผยตัวตนของ ‘Jeff Satur’ ในจุดที่มีเวทีเป็น Safe Zone

Let’s Make Everyday SATURday

เจฟ – วรกมล ซาเตอร์

 

หลังจากที่ KinnPorsche The Series World Tour 2023 และ Jeff Satur Live On Saturn : First Solo Concert in Bangkok คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกของ ‘เจฟ – วรกมล ซาเตอร์’ ได้จบลงอย่างสวยงาม เขาและ Mint ก็ได้มาพบกันอีกหนหนึ่งเพื่ออัปเดตกันในเรื่องของการทำงาน ในวันนี้ที่เจฟได้เติบโตขึ้นอีกก้าวใหญ่ๆ ในฐานะศิลปินคนหนึ่ง ผู้มีทั้งผลงานเพลง ผลงานแสดง และได้โชว์ความสามารถต่อสายตาคุณวันเสาร์ทั่วโลก

 

TEXT BY KORNPAT P.

 

 

เชื่อว่านิยามของคำว่า ‘ศิลปิน’ ของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันออกไป สำหรับ ‘เจฟ – วรกมล ซาเตอร์’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เจฟ ซาเตอร์ การเป็นศิลปินคือการเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาให้ผู้ชมด้วยความสามารถ ความจริงใจ และจิตวิญญาณทั้งหมดที่มี โดยไม่มีกรอบหรือเส้นใดๆ มาขีดกั้น เพราะความเป็นศิลปินของเจฟนั้น มันไร้ขอบเขต เหมือนกับเรื่องราวที่เขากำลังจะเล่าให้ฟังในบทสัมภาษณ์ครั้งนี้

 

 

Mint: ในฐานะที่เป็นนักร้องและนักแสดง เจฟเห็นตัวเองในฐานะไหนชัดกว่ากัน

 

Jeff: ความจริงรากของผมคือการเป็นศิลปิน ผมรู้สึกว่าศิลปินคือคนที่มีหน้าที่เล่าเรื่อง เล่าสิ่งที่ตัวเองอยากเล่าออกมา เพียงแค่ว่าผมเริ่มต้นเส้นทางของการเป็นนักเล่าเรื่องผ่านดนตรี แล้ววันนี้มันขยายไปทางด้านของการแสดงด้วย เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นนักร้องหรือนักแสดง หน้าที่ของผมคือการเป็นศิลปินที่เอาตัวเองออกมาให้คนอื่นเห็นว่าเป็นยังไงครับ

 

 

Mint: อะไรที่ทำให้เจฟพลิกกลับมาหางานเพลงอีกครั้งหนึ่ง

 

Jeff: ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองพลิกกลับมาทำงานเพลง ผมไม่เคยเปลี่ยนไปเลยต่างหาก ยังทำมันอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่แค่มันมีงานแสดงเข้ามา และเป็นบทที่รู้สึกว่าอยากทำจริงๆ เหมาะกับมันจริงๆ และทำให้มันได้ดีจริงๆ ซึ่ง KinnPorsche ก็คือเรื่องเดียว ก็ยังยืนยันว่าพาร์ทดนตรีคือเมนหลักของผม

 

 

Mint: เจฟมีเกณฑ์อะไรในการเลือกงานแสดงบ้าง

 

Jeff: จริงๆ ไม่มีระบุแน่ชัด แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ผมสนใจมากกว่า ส่วนตัวผมชอบฟังและเล่าเรื่องราวมาตั้งแต่เด็กแล้ว ชอบฟังนิทาน ดูหนัง ดูการ์ตูน ดูซีรีส์ เสพงานทุกอย่างที่เป็น Storytelling โตมากับงานพวกนี้เลยครับ เพราะฉะนั้นก็อยู่กับเรื่องราวมาเยอะ ผมจะมองหาเรื่องราวที่แปลกใหม่ น่าสนใจ พล็อตที่มันแตกต่าง และรู้สึกว่าอยากจะไปอยู่ในเรื่องราวเหล่านี้มากกว่า

 

 

Mint: อะไรเป็นตัวจุดประกายให้เลือกเล่นเรื่อง KinnPorsche ทั้งที่ตอนนั้นเพิ่งจะรีเดบิวต์กับ Warner Music ด้วย

 

Jeff: ผมเคยเจอคำถามบ่อยมากเลยเวลาสัมภาษณ์ คำถามแรกๆ จะเป็น “มองตัวเองเป็นศิลปินหรือนักแสดง” ผมก็จะตอบไปว่า “อ๋อ ผมเป็นนักร้องครับ ไม่อยากแสดง” “ผมไม่ชอบงานแสดงครับ” “ผมทำไม่ได้” เมื่อก่อนผมไม่เคยรับงานแสดงเลย เอาคนอื่นมาเล่น MV ตัวเองแทนด้วย เพราะผมไม่ชอบการแสดง ไม่ชอบหน้าตัวเองในจอ ขอแค่ลายเซ็นอย่างเดียว ให้คนอื่นไปเล่นแทน

 

การรีเดบิวต์ครั้งล่าสุดกับ Warner Music เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ผมหยิบเอาคอนเซ็ปต์ No Boundary ขึ้นมา ที่ครั้งนี้ผมตั้งใจแล้วว่าการทำงานของผมมันจะไม่มีขีดจำกัด ไม่มีเส้นแบ่งอะไร มันเหมือนว่าผมโตขึ้นในระดับหนึ่งจนรู้สึกว่าไม่ควรจะมีขีดกำจัดในการทำงานตรงนี้ อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะเล่าหรือเล่นเรื่องอะไรก็ทำไปเถอะ มันเป็นแค่สิ่งที่สมมติขึ้นมา การแบ่งพาร์ทว่าตรงนี้คือนักร้อง ตรงนี้คือนักแสดง กระทั่งว่าเรื่องชาย-หญิง ความรัก ท้ังหมดคือกรอบที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ผมก็เลยรู้สึกว่าตัดตรงนั้นทิ้งไปแล้วโฟกัสที่การเป็นศิลปินในแบบของผม

 

 

Mint: คิดว่าตัวเองในอนาคตจะสามารถเปลี่ยนไปมากกว่านี้ได้อีกหรือเปล่า

 

Jeff: ผมตอบแทนอนาคตไม่ได้ มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่จะไปในแง่ไหน ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่คิดว่ามันอาจจะเปิดมากกว่าที่เคย หรืออาจแคบลงมาจนหาอะไรที่เป็นตัวตนได้จริงๆ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ายิ่งเปิดก็ยิ่งเห็นตัวตนชัดขึ้น ยิ่งได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างก็จะเห็นว่าตรงนี้เป็นตัวเรามากแค่ไหน และเราจะใส่ทุกอย่างลงไปในผลงานได้มากแค่ไหน เพราะสุดท้าย ผมทำเพลง 6 เพลงก็ไม่เหมือนกันสักแนว แต่ว่ามันเป็นเพลงของผมและเป็นตัวผมในทุกวันนี้

 

 

Mint: แฮปปี้กับงานแสดงที่ผ่านมาไหม

Jeff: แฮปปี้มากครับ แฮปปี้กับทุกๆ อย่าง ทุกๆ งานที่ทำมาเลย แม้แต่กับงานเก่าๆ ก็ตาม

 

 

Mint: ในวันที่ได้ร่วมงานกับ Be On Cloud เจฟรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นไหม

 

Jeff: โห โตขึ้นเยอะ ช่วงที่ทำงานกับ Be On Cloud เป็นหนึ่งในช่วงที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมเลย วัฒนธรรมของที่นั่นทำให้ผมโตขึ้นมาก พี่ปอนด์ก็สอนให้ผมโตขึ้น เปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ วิธีการทำงาน วิธีคิด ไปค่อนข้างเยอะเหมือนกัน มันไม่ได้เติบโตในฐานะศิลปินอย่างเดียว แต่เป็นคนที่ต้องดูแลตัวเองและวาง Direction ให้ดี ถ้าเปรียบว่ามีหัวงอกขึ้นมาอีกหัว ก็คืองอกออกมาเป็นผู้บริหารที่คอยดูแลจัดการตัวเองอีกทีหนึ่ง

 

 

Mint: วัฒนธรรมของ Be On Cloud และ Warner ต่างกันยังไงบ้างในสายตาของเจฟ

 

Jeff: พี่ปอนด์เป็นคนที่ครีเอทีฟมาก เป็นศิลปินที่ผลงานจะมีความเซ็กซี่ ผมได้อะไรเจ๋งๆ จากพี่เขาเยอะมาก ทั้งในแง่ของการเป็นศิลปินและผู้บริหาร มันจะมีความเป็นครอบครัวผสมกับความเป็นมืออาชีพในอัตราส่วนที่ใกล้ๆ กัน

 

ส่วน Warner จะมีความเป็นมืออาชีพมาตั้งแต่ตอนแรกเลย และพออยู่ไป มันจะค่อยๆ มีความเป็นครอบครัวเพิ่มมากขึ้น ด้วยความเป็นบริษัทแล้วก็ความเป็นระบบระเบียบตามสไตล์ Global Company ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นมืออาชีพแต่ก็ไม่ได้ด้านชา เขามีความเป็นมนุษย์สูงมากและมีความรัก เป็นมนุษย์ที่สัมผัสได้ เราจะรู้สึกได้ถึงความรักที่เขาให้จริงๆ

 

 

Mint: ส่วนตัวเจฟสบายใจที่จะทำงานภายใต้วัฒนธรรมแบบไหนมากกว่า

 

Jeff: ผมชอบทั้งสองแบบนะ มันมีข้อดีต่างกัน ก็เลยเกิดไอเดียขึ้นมาว่าอยากลองทำด้วยตัวเองดู เกิดมาเป็น Studio On Saturn ที่เป็นระบบบริหารแบบเจฟ ซาเตอร์ (หัวเราะ) เป็น Co-management กับ Warner Music ซึ่งผมจะเป็นคนออกไอเดียทุกอย่าง นั่นหมายความว่าไอเดียหรือ Direction ต่างๆ ผมก็เป็นคนทำด้วยตัวเอง โดยมีส่วนที่เขาช่วยทำด้วย

 

 

Mint: การทำงานกับทั้งสองค่ายนี้ทำให้ตัวเราเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่า

 

Jeff: มันคงเป็นที่ตัวผมเองมากกว่าที่พอทำงานหลายๆ ประเภท แล้วยิ่งเปิด ยิ่งเห็นตัวเองชัด และมีความอยากเป็นตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อได้มาทำงานแสดง มองกลับไปแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย มันยังมีพาร์ทของเราที่อยากจะเอาไป Expand ไปเล่นละครเวทีต่อ ผมเริ่มเห็นตัวเองชัดว่าชอบในอะไรบ้างในงานแสดง เห็นได้ว่า MV ล่าสุดก็มีความเป็นตัวผมเองค่อนข้างสูง ถือว่าเยอะขึ้นมากๆ จาก MV แรกที่ปล่อย การทำงานกับทั้ง Be On Cloud และ Warner Music กลั่นตัวผมออกมา ให้ผมกล้าที่จะเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

 

 

Mint: แสดงว่าเมื่อก่อนไม่กล้าที่จะเป็นตัวเอง?

Jeff: ไม่ค่อยกล้าครับ เมื่อก่อนค่อนข้างกลัวว่าคนอื่นจะมองยังไง กลัวคนเขาจะจัดหมวดหมู่เราไปในทางที่ไม่อยากจะอยู่ มันก็เลยกลายเป็นว่าผมไม่กล้าทำอะไรเลยครับ อย่างใน YouTube กว่าจะทำวิดีโอแรกออกมาก็คิดอยู่นาน 3 ปี ตอนนั้นทำออกมาก็เป็นอะไรง่ายๆ นั่งหน้ากระจกแล้วก็ดีดกีต้าร์แบบสบายๆ ไม่ต้องมีกล้องหรือจัดแสง กลายเป็นว่าแค่เรากล้าที่จะเอาตัวเองออกมาก็ช่างมันเถอะ

 

 

Mint: สิ่งที่ทำให้ไม่กล้าที่จะเป็นตัวเองในตอนนั้นคืออะไร

 

Jeff: ผมว่ามันน่าจะเกิดจากความไม่แน่ใจว่าต้องแสดงออกแบบไหนถึงจะเป็นตัวเราที่สุด ผมเคยไม่เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองคิดหรือทำมันถูก ด้วยวัฒนธรรมบางอย่างที่ทำให้มองว่าการเป็นตัวเองไม่ได้ถูกเสมอ อย่างเช่น ตอนเด็กเวลาทาเล็บดำหรือเขียนขอบตาก็จะโดนเพื่อนล้อว่า ด้วยสังคมในตอนนั้นมันไม่ได้ Empower ให้ผมได้เป็นตัวเอง ตอนอยู่ที่บ้านคุณแม่ก็สนับสนุน แต่พอไปอยู่ในสังคมรอบนอก กลายเป็นว่าเขามองเราแตกต่าง

 

พอถึงวันนี้มันมีการพูดถึงเรื่องความหลากหลายทางเพศ และ Beauty Standards ผมว่ามันได้เปิดประตูหลายๆ อย่างให้ทุกคนกล้าที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องแคร์คำพูดของคน

 

 

Mint: แสดงว่าทุกวันนี้ก็สามารถพูดได้ว่าเจฟกล้าที่จะเป็นตัวเองแล้ว

 

Jeff: ใช่ เมื่อก่อนตอนเล่นสเตจแรก ผมเป็นตัวเองก็จริง แต่มันจะมีความกังวลว่า แสดงแบบนี้ถูกแล้วไหม ร้องประมาณนี้ ทำท่าแบบนี้ถูกไหม ต้องอยู่นิ่งๆ หรือต้องเดิน ต้องกลับมาตรงกลางหรือเปล่าในจังหวะเพลงนี้ มันกลายเป็นว่าโฟกัสผิดเรื่อง ทั้งที่ต้องโฟกัสกับผลงานมากกว่า ตอนนี้ก็เลยกล้าที่จะบอกว่าเป็นตัวเองแบบเต็มร้อย

 

อย่างคอนเสิร์ตที่ผ่านมา มันจบโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าจบแล้ว (หัวเราะ) คนดูก็น่าจะรู้สึกอย่างนั้น คือมันผ่านไปเร็วมาก ผมไม่ได้คิดอะไรเลย แค่แสดงของตัวเองไป

 

 

Mint: การเผยความเป็นตัวเองออกมาผ่านเรื่อง KinnPorsche ได้ให้อะไรกับเจฟบ้าง

 

Jeff: ผมจะได้อะไรกลับมาเสมอในการได้เข้าไปเป็นใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ไม่ว่าจะจาก ‘คิม’ ในเรื่อง KinnPorsche หรือ ‘แดน’ ที่ผมเล่นในละครเวทีเรื่อง CLOSER เขาจะสอนอะไรบางอย่างเสมอ อย่างในตัวละครคิม ผมได้รับความกล้าจากเขามาโดยที่ไม่รู้ตัว มันเริ่มเข้ามาตอนที่กำลังพัฒนาฝีมือและแสดงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราไปโดยปริยาย ผมกล้าเป็นตัวเองเพราะมีความกล้าของคิมเข้ามาอยู่ในตัว

 

 

Mint: ในวันนี้สามารถพูดได้ไหมว่าเจฟดังแล้ว มันเป็นสิ่งที่รอคอยมาก่อนหรือเปล่า

 

Jeff: ผมไม่ค่อยชอบคำว่าดัง คงต้องบอกว่าผลงานของผมเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นมากกว่า ซึ่งมันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่รอคอย ผมว่าผมโหยหาหู (หัวเราะ) หูที่จะมาฟังเพลงของเราน่ะครับ อยากให้เพลงเหล่านี้ไปถึงเขา ในวันนี้ที่เพลงของผมไปถึงใครหลายๆ คนสำเร็จแล้ว ก็ภูมิใจมากนะครับ ที่ภูมิใจที่สุดคือการที่ผลงานของผมได้รับการยอมรับและมอบแรงบันดาลใจให้คนอื่น ผมเคยเขียนบล็อกแล้วข้อความในบล็อกนั้นได้ช่วยคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย และเขาก็ส่งข้อความกลับมาหา หลายๆ คนก็รู้สึกดีขึ้นได้จากผลงานของผม ไม่ว่าจะเป็นผลงานรูปแบบไหน มันทำให้รู้สึกว่านี่คือแรงที่เกิดจากการเป็นศิลปิน เพราะฉะนั้นก็อยากให้งานที่ผมทำได้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คน นี่คือความหมายของการเป็นศิลปินสำหรับผม

 

 

Mint: วันนี้ เจฟ ซาเตอร์ ให้คุณค่ากับชื่อเสียงของตัวเองมากแค่ไหน

 

Jeff: ผมให้คุณค่ากับผลงานมากกว่า บางคนมองว่าชื่อเสียงเป็นความสำเร็จ ซึ่งก็ไม่ผิดนะครับ ผมแค่รู้สึกว่ายิ่งใส่ใจกับชื่อเสียงเท่าไหร่ก็กลายเป็นว่าโฟกัสผิดจุด ถ้าเราโหยหาชื่อเสียง มันจะไม่มา แต่ถ้าเราโหยหางานที่ดี มันจะพาชื่อเสียงมา ไม่ต้องไปแข่งกับใครเลย แข่งกับตัวเองไปเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด อีกอย่างคือผมตระหนักอยู่ตลอดว่าชื่อเสียงจะเลือนหายไปในสักวัน เจฟ ซาเตอร์ ไม่ได้อยู่ตรงนี้ตลอด แต่ในจังหวะนี้ที่ผมยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นและทำงานดีๆ ออกมาได้ ผมก็จะทำให้ได้มากที่สุดครับ

 

 

Mint: KinnPorsche มีส่วนดันให้คนได้มองเห็นเจฟมากขึ้นไหม

 

Jeff: มาก แบบมากๆ เลยครับ มันเป็นจุด Turning point หนึ่งที่สำคัญมากในชีวิตเลย KinnPorsche ทำให้ผมได้ Kick off ในด้านการแสดง รวมถึงพาร์ทงานเพลงที่เพลง ‘แค่เธอ’ ทำให้ใครหลายๆ คนได้มารู้จักผม และตามไปฟังเพลงอื่นๆ ด้วย ถือว่ามันได้ผลักดันผมทั้งในพาร์ทของผลงานแสดงและผลงานเพลง

 

 

Mint: เคยรู้สึกเสียดายบ้างไหมที่คนไม่ได้มาเห็นเราก่อนจะเล่นเรื่อง KinnPorsche

 

Jeff: ผมว่าทุกอย่างมีเวลาที่ทำให้มันออกมาถูกต้องที่สุด ถ้าผมกลับไปนั่งฟังตัวเองร้องเพลง ‘ไม่กล้าบอกชัด’ ก็คงต้องปิดหู (หัวเราะ) รู้สึกว่าไม่ใช่เวลาของมัน และผมก็พัฒนาด้านการร้องมาโดยไม่รู้ตัว รวมถึงเรื่องความมั่นใจในตัวเองด้วย ตอนนั้นก็อาจจะไม่ได้ดีเท่าตอนนี้ที่ผมรู้สึกว่าเวทีเป็น Safe zone ผมสามารถนั่ง นอน อยู่ตรงนั้นได้เลย มันรีแล็กซ์มากๆ พูดได้ว่าทั้งเรื่องทัศนคติและอะไรต่างๆ กำลังอยู่ในจุดที่เหมาะสม ไม่มีจุดที่ดีกว่านี้และแย่กว่านี้ นี่คือจุดที่ดีที่สุด

 

 

Mint: KinnPorsche The Series World Tour 2023 มีส่วนช่วยในการซัพพอร์ตเจฟในเวทีถัดๆ ไปไหม

 

Jeff: ช่วยได้มากเลยครับ การได้ไป World Tour ทำให้ผมได้เจอคนที่ไม่ได้เจอตลอด อย่างแฟนๆ ที่ต่างประเทศ มีไทเป เวียดนาม สิงคโปร์ ที่ผมไม่เคยได้ไป แต่วันหนึ่งก็ได้ไปและเห็นว่าเขามีอยู่จริง จากที่ได้แต่เห็นคอมเมนต์ผ่านตา มันทำให้เชื่อมั่นว่ามีคนที่ฟังเพลงของเราจริงๆ แล้วเขาร้องภาษาไทยได้ด้วย มันก็เลยรู้สึกว้าว นอกจากนี้ก็มี Potential จากการได้ไป World Tour ด้วยครับ

 

 

Mint: เราได้เห็นมุมขี้เล่นของเจฟบนเวทีมากขึ้น อะไรที่ทำให้มีความกล้าในการปลดล็อกตรงนี้
 

Jeff: ผมเคยพูดในคอนเสิร์ตว่ามีแฟนคลับที่ชอบเล่นมีมผมใช่ไหม หน้าผมตอนที่อุบาทว์ๆ แบบฮาๆ ผมว่าเขาก็ชอบในมุมที่อุบาทว์สุดของเรา รักในมุมที่เราไม่ชอบเลย อย่างมุมติ๊งต๊อง ทำของพัง และผมรู้สึกว่าในเมื่อเขารักมุมนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องเท่อยู่ตลอดเวลา ถ้ามันสร้างความสุขให้เขาได้ ผมก็โอเค ความจริงเราก็เป็นคนบ้าๆ บอๆ ประมาณหนึ่ง ผมก็เป็นให้เห็น เขาจะได้เห็นตัวตนจริงๆ เวลาเจอทีมงานผมเป็นแบบไหน พอขึ้นเวทีก็ยังเหมือนเดิมอยู่ ผมเบื่อกับการที่ อะ กล้องมาแล้ว ขอทัศนคติดีแป๊บหนึ่ง (หัวเราะ)

 

 

Mint: สำหรับเจฟ คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกคือหมุดหมายเริ่มต้นหรือว่าหมุดหมายเช็กอิน

 

Jeff: มันคือตอนจบของ Chapter ที่แล้วครับ เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นของ Chapter ใหม่ และตอนจบของ Chapter ที่แล้ว โห กวีมาก (หัวเราะ) ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเล่าเรื่องราวชีวิตตั้งแต่เริ่มแรกผ่านคอนเสิร์ตได้ อย่าง VCR ก็เป็นกึ่งกวีกึ่งวิดีโอที่ผมเขียนเล่าว่าตอนเด็กเคยเจออะไร เคยเล่นอะไร ได้ยินเพลงแบบไหน เช่น การฟังเพลงหมอลำที่แม่บ้านเปิด ทำให้อินกับความเป็นอีสาน แล้วก็มีโจอี้มา มีการเล่นพิณ อีกอย่างคือการฟังเพลงเกาหลี อาจจะไม่ค่อยมีใครรู้แต่ผมก็เป็นติ่งเกาหลีเหมือนกัน ก็เลยหยิบมาเล่า มันมีหลายๆ อย่างในชีวิตผมที่ถูกถ่ายทอดผ่านคอนเสิร์ตนี้

 

 

Mint: ไอเดียแรกของ VCR ก็เป็นแบบนี้เลยไหม

 

Jeff: ในตอนแรกก็ไม่ เคยดู Evangelion ไหมครับ มันเป็นการ์ตูนที่ตอนจบของเรื่องตัดวิดีโองงโคตรๆ เลย เหมือนเป็นการใช้กวีมาผสมกับอนิเมะ และก็จบไปแบบงงๆ แต่ผมรู้สึกว่าไอเดียมันเจ๋ง เลยคิดว่าทำไมเราไม่ลองเล่าเรื่องชีวิตดู ก็มานั่งนึกว่าซาวด์คือเสียงที่เกิดขึ้นโดยมีสตอรี่อยู่ในทุกเสียงนั้น และทุกๆ คนมีซาวด์ที่ไม่เหมือนกัน ผมเองก็มีซาวด์ที่เก็บมาโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน อย่างซาวด์หมอลำ เราอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนได้ตระหนักว่ามันมีซาวด์ แล้วเพลงที่ทุกคนแต่งไม่ได้แย่ มันไม่มี Bad song ในโลกใบนี้ บางครั้งอาจจะมีเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกแย่ แต่มันไม่มี Sad song สำหรับทุกคน และก็ไม่มี Love song สำหรับทุกคนเสมอไป มันก็เป็นแค่เพลงๆ หนึ่งของเรา

 

ส่วนจังหวะฉีกจอ ตอนนั้นผมคิดว่าไอเดียแม่งเท่ชิบหายเลย (หัวเราะ) ท่อนมันมืดๆ อยู่ใช่ไหม แล้วก็จะเริ่มฉีก ผมอธิบายให้ทีมงานฟัง ทุกคนงง แล้วก็เตรียมของมาแบบงงๆ ตอนนั้นมีสีอะคริลิกกับกระดาษสีดำ ผมก็ทำให้เขาดูเลยว่าอยากทำแบบไหนบ้าง สุดท้ายก็ได้ทำมันออกมาจริงๆ ผมกรอไปดูฉากนั้นบ่อยมากเลย ทุกคนก็ “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น” (หัวเราะ) เหมือนภาพในหัวที่จินตนาการไว้เลยครับ แค่ว่าไม่ได้ทำตรงกลางเวทีอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรก

 

 

Mint: เจฟจัดการกับไอเดียของตัวเองยังไง เวลาที่ต้องทำงานกับคนอื่นๆ

 

Jeff: ก่อนอื่นคือจดไว้ครับ จดไว้เต็มมือถือเลย เพราะว่ามันก็มีไอเดียดีๆ และไอเดียที่แย่ แต่ว่าเขียนไว้ก่อน วันรุ่งขึ้นค่อยกลับมาดูว่ามีอันไหนที่เวิร์กบ้าง ส่วนเวลาที่ต้องเอาไอเดียนี้ไปเสนอกับคนอื่น บางครั้งผมก็มีปัญหาในการอธิบายเหมือนกัน มีบ้างที่เขาไม่เข้าใจว่ามันเป็นยังไง แต่สิ่งที่ผมทำได้คือการทำให้เขาเห็นก่อนว่ามันจะเป็นแบบไหน ทุกคนก็ให้เกียรติแล้วก็เข้าใจเรา

 

 

Mint: นอกจากไอเดียนี้แล้ว เห็นว่า Setlist ทั้งหมดในคอนเสิร์ตก็มาจากเจฟด้วย

 

Jeff: ใช่ๆ ผมเลือกมาทุกอันแล้วก็วางด้วยตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่ Sequence คลิป ไอเดีย คอสตูม เซตฉาก ผมรู้สึกว่าคนจะคิดว่าการ Perform ต้องจริงจังมากๆ แต่ทำไมเราไม่ลองมาทำให้มันเป็นห้องที่มีแค่เราคนเดียว ก็คือห้องนอน ผมก็ใช้ชีวิตบนเวทีเหมือนอยู่บ้าน เพราะว่ามันคือ Safe zone ของผม ก็เลย Represent ตรงนั้นออกมา

 

 

Mint: ทำไมถึงเอาเพลง ‘ไม่กล้าบอกชัด’ ไปอยู่ตรงนั้น

 

Jeff: มันคือการทำให้นึกถึงจุดเริ่มต้น ผมมาถึงจุดที่ Safe ที่สุด คือตรงกลาง และจังหวะนั้นคือพาร์ทที่ทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ ในช่วงทอล์คด้วย แต่วันนี้ได้เป็นที่รู้จักในชื่อ เจฟ ซาเตอร์ แล้วทำไมเราไม่ร้องเพลงแรกที่ทำให้ได้มารู้จักกัน ก็เลยเป็นจุดที่ได้มาร้องกับเขา โดยที่อยู่ไกลมากๆ อาจจะเห็นเราไม่ชัด เราได้ร้องเพลงแรกกับเขา ทั้งตรงข้างหลัง ค่อยๆ มาข้างหน้า แล้วมาจบที่เวที มาเจอกับเขาในเพลงแรกจริงๆ

 

 

Mint: พอได้ทำงานในทุกๆ ขั้นตอนแบบนี้ เจฟรู้สึกหวงงานตัวเองมากขึ้นด้วยไหม

 

Jeff: หนักเลย อย่าง MV ผมก็ไปนั่งตัดด้วยนะครับ นั่งใช้โปรแกรมตัด เคาะดูเฟรมงี้ ผมอยากให้ภาพที่อยู่ในหัวออกมาตรงที่สุด พี่แพนซึ่งเป็นผู้กำกับจะคอยช่วย และมีไอเดียของเขา ถ้าไอเดียผมไม่เวิร์ก ก็จะมีพี่แพนนี่แหละครับคอยดูให้ แต่เขารับฟังผมเยอะมากๆ อย่างไอเดียหรือตัวเนื้อเรื่องเขาก็ยอมให้ผมช่วยแต่ง ก็ต้องขอบคุณเขามากๆครับ 

 

 

Mint: ในสเต็ปต่อไป เราจะได้เห็นผลงานอะไรจากเจฟอีกบ้าง

 

Jeff: มันมีอะไรหลายอย่างที่ผมพูดไม่ได้ แต่ตื่นเต้นมากที่จะได้ลองทำ ผมยังอยากลองเล่นภาพยนตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำแต่อยากมากๆ ตอนนี้ก็มีศิลปินที่กำลังทำโปรเจกต์ด้วยกัน เป็นศิลปินต่างประเทศที่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะอยากทำงานกับผม แล้วก็ยังมีที่ที่ผมไม่เคยไปและน่าตื่นเต้นมากๆ ซึ่ง Coming up very very soon ตอนนี้ยังพูดไม่ได้ แต่ว่าทุกคนจะค่อยๆ เห็นไปเรื่อยๆ เหมือนอ่านนิยายแล้วสงสัยว่า Chapter ต่อไปจะเล่าเรื่องอะไร (หัวเราะ)

 

 

Mint: มีอะไรอยากฝากถึง เจฟ ซาเตอร์ ในอีก 2 ปีข้างหน้าไหม

Jeff: ใช้ชีวิตให้มีความสุข เพราะว่าตัวคุณติดหนี้ผมในปัจจุบันนี้